
การซื้อบ้านร่วมกับคนรักเป็นสิ่งที่หลายคนทำ เพราะต้องการเพิ่มโอกาสให้กู้ผ่านง่ายขึ้น หรือเพื่อแบ่งเบาภาระกัน แต่ถ้าหากวันหนึ่งความสัมพันธ์จบลงก่อนบ้านจะผ่อนหมด สิ่งที่ตามมาคือปัญหาหนักใจทั้งเรื่องการเงินและสิทธิในทรัพย์สิน
บทความนี้จะช่วยคุณเข้าใจว่าเมื่อ “กู้ร่วมแต่เลิกกัน” ยังมีทางออกที่จัดการได้ ไม่ว่าจะเป็นการตกลงกันใหม่ การขายบ้าน หรือการโอนหนี้ อ่านให้จบเพื่อเลือกแนวทางที่ใช่ที่สุดสำหรับคุณ
เข้าใจก่อนว่า “กู้ร่วม” คืออะไร?
- การกู้ร่วม คือการที่คน 2 คน (หรือมากกว่า) ยื่นขอสินเชื่อร่วมกันกับธนาคาร เพื่อเพิ่มรายได้รวม ทำให้กู้ผ่านง่ายขึ้น หรือได้วงเงินสูงขึ้น
- ชื่อในสัญญาจะเป็นเจ้าหนี้ร่วมกัน ส่วนทรัพย์สิน เช่น บ้านหรือคอนโด ก็จะเป็น “กรรมสิทธิ์ร่วม” ถ้ามีชื่อทั้งคู่ในโฉนด
- ภาระหนี้ถือเป็น “ร่วมกันรับผิด” ซึ่งหมายความว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่จ่าย อีกฝ่ายก็ต้องรับผิดเต็มจำนวน
หากเลิกกันกลางทาง ยังมีทางออกอะไรบ้าง?
1. ตกลงว่าใครจะผ่อนต่อ และให้อีกฝ่ายถอนชื่อออก
- หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการอยู่ต่อ และมีศักยภาพผ่อนคนเดียว อาจตกลงให้คนนั้น "รับบ้านไป" และดำเนินการรีไฟแนนซ์ หรือกู้ใหม่โดยใช้ชื่อคนเดียว
- ธนาคารจะพิจารณาความสามารถในการผ่อนของฝ่ายนั้น หากผ่าน ก็สามารถทำเรื่อง "ถอนชื่ออีกฝ่าย" ออกจากภาระหนี้ได้
- หลังจากกู้ใหม่ผ่าน ต้องทำสัญญาเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในโฉนดด้วย
ข้อควรระวัง: บางธนาคารอาจไม่อนุมัติให้กู้ใหม่ ถ้ารายได้ไม่เพียงพอ ทำให้ยังต้องถือร่วมกันต่อ
2. ขายบ้าน แล้วแบ่งเงินตามสัดส่วน
- ถ้าไม่อยากผ่อนต่อร่วมกัน หรือไม่มีใครอยากอยู่ อาจเลือกวิธี “ขายบ้านทิ้ง” แล้วนำเงินมาชำระหนี้ที่เหลือ
- หากเหลือเงินหลังหักหนี้ ก็แบ่งกันตามที่ตกลง (หรือเท่ากัน หากไม่มีข้อตกลงพิเศษ)
- วิธีนี้เหมาะกับกรณีที่บ้านมีมูลค่าเพิ่ม และขายแล้วได้เงินพอจ่ายหนี้หมด
- อาจใช้ตัวกลาง เช่น นายหน้าขายบ้าน หรือบริษัทรับซื้อ เพื่อให้การขายเป็นกลางและรวดเร็วขึ้น
3. ทำสัญญาแยกความรับผิด (แต่ธนาคารอาจไม่รับรอง)
- บางกรณี คู่กู้อาจตกลงกันเองว่า ใครจะจ่ายเท่าไร ใครรับผิดแค่ไหน
- อาจมีการทำเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น หนังสือสัญญาเงินกู้ระหว่างกัน หรือหนังสือรับผิดชอบค่างวดรายเดือน
- แต่ในทางกฎหมาย ธนาคารยังถือว่าทั้งคู่รับผิดร่วมเสมอ จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนในระยะยาว หากเกิดปัญหาการชำระเงินจริง
4. ปล่อยเช่าบ้าน แล้วหารรายได้มาผ่อนร่วมกัน
- หากยังไม่สามารถตัดสินใจเรื่องขายหรือโอนได้ การปล่อยเช่าอาจเป็นทางเลือกชั่วคราวที่ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย
- รายได้จากค่าเช่าอาจเพียงพอจ่ายค่างวด โดยไม่ต้องควักเงินเพิ่มมาก
- ควรตกลงให้ชัดว่าใครจะจัดการดูแลผู้เช่า ใครรับผิดชอบค่าซ่อมแซม และวิธีแบ่งรายได้
- หากปล่อยเช่าได้นาน ก็อาจใช้เวลานี้คิดทบทวนแนวทางระยะยาว เช่น การขาย หรือรีไฟแนนซ์
ถ้ายังไม่ได้ตกลงกัน จะเกิดอะไรขึ้น?
- หากไม่มีการตกลงหรือดำเนินการใด ๆ หนี้ก็ยังเป็นความรับผิดร่วมเท่าเดิม
- หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่จ่าย และค่างวดค้าง ธนาคารมีสิทธิฟ้องทั้งคู่ และอาจยึดทรัพย์ขายทอดตลาด
- ความขัดแย้งอาจส่งผลต่อเครดิตบูโร และความสามารถในการกู้ในอนาคตของทั้งสองฝ่าย
สิ่งที่ควรเตรียมก่อนทำข้อตกลงหลังเลิกกัน
- สำเนาสัญญากู้, โฉนด, รายละเอียดค่างวดที่เหลือ
- รายได้ปัจจุบันของแต่ละฝ่าย เพื่อประเมินว่ากู้ใหม่หรือผ่อนต่อไหวหรือไม่
- ความต้องการของทั้งคู่: ใครอยากได้บ้าน, ใครยินดีถอนชื่อ, ใครอยากขาย
- ถ้าเป็นไปได้ ควรมีที่ปรึกษาทางกฎหมายหรือที่ปรึกษาด้านสินเชื่อร่วมพูดคุย
การเลิกราอาจเป็นเรื่องที่เจ็บปวด แต่หนี้สินเป็นเรื่องที่ต้องจัดการ ดังนั้นการ “คุยกันให้ชัดเจน” คือกุญแจสำคัญในการจัดการ
ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายอยากอยู่ต่อ ขายบ้าน หรือถอนชื่อออก สิ่งที่ควรทำที่สุดคือการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา และหาข้อมูลทางเลือกให้มากที่สุด
บ้านคือทรัพย์สิน ไม่ใช่ปัญหา หากคุณพร้อมที่จะหาทางออกร่วมกัน